Andrea Pirlo ลบคำสบประมาทด้วยคำว่าอายุเยอะ

Andrea Pirlo

Andrea Pirlo ลบคำสบประมาท ด้วยคำว่า อายุเยอะ สำหรับนักเตะ ที่อายุ มากกว่า 30 ปี ขึ้นไป น้อยมาก ที่จะประสบความสำเร็จ ซึ่งในปัจจุบันนี้ คงจะเห็น Cristiano Ronaldo สตาร์ชาวโปรตุเกส รวมถึง ลิโอเนล เมสซี่ ซุปเปอร์สตาร์ ชาวอาร์เจนตินา ที่ยังคงวาดลวดลาย ในวงการลูกหนัง และยังคง สามารถทำผลงาน ได้ดี แต่ในยุคปัจจุบัน หากจะเอ่ยถึงนักเตะที่อายุ 30 ปีขึ้นไป และประสบความสำเร็จ กับการเล่นถึงขั้น คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยม ของลีก ก็คงจะหาได้ยาก แต่สำหรับ อันเดรีย ปีร์โล่ ห้องเครื่องเท้าช่างทอง นักเตะจอมคลาสสิคของอิตาลี เขาคือผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จกับทีมยักษ์ใหญ่ในเวที ซีเรียอา ถึง 2 ทีม ไม่ว่าจะเป็น AC Milan และยูเวนตุส

แต่รู้ หรือไม่ ว่า จุดสูงสุดของ อันเดรีย ปีร์โล่ นั่นก็คือ การคว้ารางวัล นักเตะยอดเยี่ยมของลีก ซีเรียอา ถึง 3 ปีซ้อน ในวัย 32 ปี 33 ปี และ 34 ปีติดต่อกัน และลองมาดูเส้นทาง นับตั้งแต่ที่ศิลปินลูกหนัง ก้าวเข้าสู่แวดวงกีฬาฟุตบอล จนถึงขั้น แขวนสตาร์ท การเปลี่ยนแปลง และความพยายาม ของห้องเครื่อง ชาวอิตาลีรายนี้ สร้างความประทับใจ และฝากผลงานให้ กับวงการลูกหนังอย่างไร ทำไมทุกคน จึงยกย่องให้ อันเดรีย ปีร์โล่ คือหนึ่งในสุดยอดนักเตะ ที่อยู่ในระดับตำนาน และเป็นกรณีศึกษา ของนักฟุตบอลในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะตำแหน่งผู้เล่นกองกลาง

เมื่อพูดถึงชื่อของ Andrea Pirlo แน่นอนว่า แฟนบอลทั่วโลก จะยอมรับในสถานะ นักเตะที่มีพรสวรรค์สูง เล่นบอลด้วยสมอง อีกทั้งยังสร้างลีลา และท่วงท่าด้วยความคลาสสิค และจุดแข็งของเขา ไม่ใช่ความแข็งแกร่งของร่างกาย หรือว่าการพาบอลไปข้างหน้า ได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อบอลอยู่กับเท้าของเขา ห้องเครื่องชาวอิตาลี สามารถพลิกสถานการณ์ ให้เพื่อนร่วมทีมเล่นบอลได้ง่าย หรือชิงความได้เปรียบ ซึ่งการ assist หรือว่าป้อนบอลที่ออกจากเท้าของเขา สามารถหวังผลได้ 100% อีกทั้ง อันเดรีย ปีร์โล่ ยังเป็นนักเตะที่เล่นลูกเซ็ตพีช และยิงลูกฟรีคิก ได้อย่างแม่นยำ นั่นจึงทำให้ตัวเขาเองถูกยกย่องว่า เป็นนักเตะที่ครบเครื่อง และเป็นแบบอย่างที่ห้องเครื่องในปัจจุบันนี้ ควรจะศึกษาในวิธีการเล่น

ลิโอเนล เมสซี่

แต่รู้หรือไม่ ว่าก่อนที่ อันเดรีย ปีร์โล่ จะก้าวขึ้นมาเป็นระดับตำนาน ของวงการลูกหนังในฐานะ ตัวพ่อของวงการลูกหนังอิตาลี เจ้าตัวเล่นในตำแหน่งห้องเครื่องตัวรับ มาก่อนหน้านี้ แต่ทว่าตัวเขาเองไม่ค่อยถนัด และไม่ได้รับอิสระมากพอในการเล่น จึงพยายามฝึกฝน และผลักดันตัวเอง ให้มาเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุก หรือตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ที่ทุกคนรู้จักในปัจจุบันนี้ ซึ่งเขาเป็นนักเตะสัญชาติอิตาลี เขาเกิดในวันที่ 10 พฤษภาคม 1979 และเริ่มต้นเล่นฟุตบอลกับสโมสรเบสชา กับการเซ็นสัญญาในฐานะ นักเตะอาชีพในปี 1995 ถึงปี 1998 ก่อนที่จะย้ายมาเซ็นสัญญากับ “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน ในปี 1998 –  2001 แต่ทว่าเจ้าตัวก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในสีเสื้อของ “งูใหญ่” จึงได้ย้ายกลับไปเล่นให้กับ เบสชา ด้วยสัญญายืมตัวก่อนที่ตำนานจะเกิดขึ้นในปี 2001 หลังจากที่ อันเดรีย ปีร์โล่ เซ็นสัญญากับ “ยักษ์ใหญ่แดงดำ” AC Milan ในปีนั้น

และภายใต้เครื่องแบบเสื้อสี “แดงดำ” ของ อันเดรีย ปีร์โล่ ที่เล่นให้กับ เอซี มิลาน ตลอดระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่ปี 2001 ถึงปี 2011 แน่นอนว่า เขาประสบความสำเร็จ เป็นอย่างมาก เพราะว่าเจ้าตัวพา AC Milan คว้าแชมป์ กัลโช ซีเรียอา และแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก อย่างละ 2 สมัย และยังคว้าแชมป์ โคปาอิตาเลีย และ แชมป์ยูฟ่าซุปเปอร์คัพ อีก 2 สมัย ในปี 2003 และปี 2007 ซึ่งในช่วงที่ตัวเขาเองเล่นให้กับ เอซี มิลาน ภายใต้เสื้อทีมชาติประสบความสำเร็จ ซึ่งอยู่ในชุดแชมป์โลก 2006 ที่คว้าแชมป์กับทีมชาติอิตาลี ได้อีกด้วย

และคงพอทำความเข้าใจได้ไม่ยาก สำหรับการเซ็นสัญญาเข้าสู่ AC Milan ของอันเดรีย ปีร์โล่ตอนนั้นตัวเขาเองมีอายุเพียงแค่ 22 ปี และรูปแบบการเล่นของศิลปินลูกหนัง แห่งวงการอิตาลี ก็พัฒนาความคลาสสิค มาเรื่อย ๆ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่น ซึ่งการเล่นที่สร้างความแตกต่าง ของห้องเครื่องรายนี้คือ ตัวเขาเองไม่ต้องใช้แรงเยอะ หรือไม่ต้องทำความเร็วเมื่อมีบอลอยู่กับเท้า แต่สิ่งที่การันตีได้นั่นคือ ลูก assist ซึ่งไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น หรือว่าระยะยาว กับการวางบอลให้กับ กองหน้าเข้าจบสกอร์ หรือว่าการวางบอลเปลี่ยนเกมที่แม่นยำ เขาพัฒนาจนถึงขีดสุด และประสบความสำเร็จกับ AC Milan จนทำให้แฟนบอลทั่วโลกต่างก็รู้จัก ชื่อของเขาในฐานะห้องเครื่องที่ดีที่สุดแห่งยุค

Cristiano Ronaldo

จนกระทั่ง สิ่งที่นักเตะอาชีพกลัวนั่นก็คือ เรื่องของอายุ เพราะในปี 2011 อันเดรีย ปีร์โล่ ในช่วงอายุ 32 ปี เจ้าตัวถูกปล่อยให้เป็นนักเตะฟรีเอเย่นต์ ซึ่ง เอซี มิลาน พวกเขาได้ให้เหตุผลว่า ต้องการที่จะผลักดันกองกลางรายใหม่ขึ้นมาเล่นแทนเขา เพราะด้วยวัย 32 ปีของเขาในสิ่งที่เรามองว่า แก่เกินกว่าที่จะใช้งาน และนี่ก็คือสิ่งที่ AC Milan ตอบแทนผู้เล่นที่ดีที่สุดตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ร่วมสร้างผลงานให้กับพวกเขา

และหลังจากที่ อันเดรีย ปีร์โล่ กลายเป็นนักเตะฟรีเอเย่นต์ นั่นคือตำนานบทที่ 2 ของเขาที่กำลังจะสร้างขึ้น หลังจากที่สโมสร ยูเวนตุส คู่ปรับร่วมลีกของ AC Milan ได้ดึงตัวห้องเครื่องสุดคลาสสิค หรือศิลปินลูกหนัง แห่งวงการอิตาลี เข้าไปร่วมทัพในปี 2011 และสิ่งที่เขาได้พิสูจน์ฝีเท้า เมื่ออยู่ในสนามในวัย 32 ปี ที่สโมสรเก่าอย่าง เอซี มิลาน บอกว่าเขาแก่เกินกว่าที่จะใช้งาน ตัวเขาเองสามารถพา ยูเวนตุส คว้าแชมป์ในฤดูกาล 2011-12 ทันทีที่ย้ายเข้าไปสวมเครื่องแบบให้กับ “ม้าลาย” และยังเป็นผู้เล่นที่ assist เยอะที่สุดในทีมถึง 13 ลูก และยังมีชื่อบนสกอร์บอร์ดถึง 3 ประตูในฤดูกาลแรก และคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี ของลีก กัลโซ ซีเรียอา นับตั้งแต่ปีแรก ที่เข้าไปเล่นให้กับยูเวนตุส และยังมีชื่อเข้าชิงผู้เล่นที่ดีที่สุดของยูฟ่า ในปี 2012 อีกด้วย

และในฤดูกาลต่อมา นั่นก็คือ ซีซั่น 2012 -13 อันเดรีย ปีร์โล่ ก็ยังไม่หยุด เพราะฟอร์มที่ร้อนแรง ซึ่งในปีนั้นเขาอยู่ในวัย 33 ปี  เขาก็คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของ กัลโช ซีเรียอา เป็นฤดูกาลที่ 2 ส่วนเข้าปีที่ 3 นั่นก็คือซีซั่น 2013-14 อายุก็เพิ่มขึ้นเป็น 34 ปี แต่ลีลา และท่วงท่า กับการออกบอลได้ทั้ง 2 เท้าด้วยความแม่นยำก็ยังการันตีให้กับ ห้องเครื่องชาวอิตาลี คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของ กัลโช ซีเรียอา เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ก่อนจะตัดสินใจอยู่กับยูเวนตุสต่ออีก 1 ปี และได้ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม นิวยอร์กซิตี้ ในการเซ็นสัญญา 18 เดือน และแขวนสตั๊ดในวัย 38 ปี

Scroll to Top