ในช่วงปี 2000 หนึ่งในทีมชาติที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งอย่างมาก ต้องยกให้กับทีมชาติสเปนที่ตอนนั้นเต็มไปด้วยนักเตะสตาร์ดังมากมาย มีการเล่นสอดประสานกันอย่างลงตัว ไม่เพียงเท่านั้นยังมีรูปแบบการเล่นที่สุดจะแข็งแกร่งจนสามารถคว้าแชมป์โลกได้ โดยในตำแหน่งตัวรุกนั้นมีนักเตะที่ชื่อ David Villa นี่คือนักเตะที่ถูกยกให้เป็นกองหน้าที่เก่งคนหนึ่งของโลกลูกหนัง เขามีครบทั้งความสามารถด้านฟุตบอล มีความเป็นนักสู้ มีความเป็นสุภาพบุรุษ และยังใช้ทุกโอกาสที่ตนเองได้รับอย่างคุ้มค่ามากที่สุด
บ้านเกิดของ David Villa อยู่ที่เมืองลังเกรโอ ประเทศสเปน เด็กชายคนนี้มีความฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลตั้งแต่ยังเด็ก เขามักจะใช้เวลาส่วนใหญ่เล่นฟุตบอลกับเพื่อน ๆ ชอบเล่นมากจนครั้งหนึ่งเมื่ออายุได้เพียง 4 ปี กระดูกขาขวาของเขาแตกจากอุบัติเหตุ แต่เขากลับใจจดใจจ่อให้หายเพื่อจะเล่นฟุตบอลได้อีกครั้ง คุณพ่อที่ได้เห็นความตั้งใจของลูกจึงได้สนับสนุนอย่างเต็มที่ เปลี่ยนให้เด็กหนุ่มที่ถนัดเท้าขวาให้เปลี่ยนมาลองเล่นด้วยเท้าซ้าย ซ้อมให้เขารับบอล ส่งบอล และยิงบอลได้ดั่งใจนึก
ทำให้เมื่อ ดาวิด บีย่า หายป่วย เขาจึงเป็นเด็กหนุ่มที่เล่นเก่งกว่าเพื่อน ๆ เนื่องจากใช้เท้าเล่นฟุตบอลได้ถึงสองข้าง
จนในปี 1991 สโมสรลังเกรโอ ในบ้านเกิดของเขาก็ดึงตัว David Villa เข้าแคมป์ชุดเยาวชน ใช้เวลาฝึกฝนอยู่นานจนย้ายมาอยู่กับสโมสร สปอร์ติ้ง กิฆอน ในปี 1999 จนเมื่ออายุ 19 ปีเขาก็ถูกดันขึ้นมาเล่นให้กับชุดใหญ่ โดยได้เล่นในลีกลาลีกา 2 ก่อน สามารถโชว์ผลงานได้ดีในฐานกองหน้าดาวรุ่ง จนเมื่อฤดูกาล 2000 – 01 เขาก็ได้รับโอกาสขึ้นมาสัมผัสกับสนามของลีก ลาลีกา เป็นครั้งแรก ด้วยการย้ายมาเล่นให้กับสโมสร ซาราโกซา
เชื่อหรือไม่ว่า ดาวิด บีย่า สามารถช่วยทีมคว้าแชมป์ โกปปา เดล เรย์ ไปได้ในฤดูกาล 2002 -03 แถมยังเป็นการเอาชนะทีมใหญ่อย่าง เรอัล มาดริด อีกด้วย จากนั้นก็ตามมาด้วยแชมป์ สแปนิชซูเปอร์คัพ 2004 ถือว่าเป็นการหักปากกาเซียนอย่างมาก นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ช่วยแจ้งเกิดให้กับเด็กหนุ่มคนนี้เลยก็ว่า
จากการเอาชนะ บาเลนเซีย ในรอบชิงดังกล่าว ทำให้สโมสรเลือกที่จะคว้าตัว David Villa มาร่วมทีมทันที ด้วยการให้ค่าตัวถึง 12 ล้านยูโรในปี 2005 เพียงแค่ฤดูกาลแรกเขาก็สามารถยิงไปได้ถึง 25 ประตู จากการลงเล่นไป 35 นัด ทำให้บาเลนเซีย เลือกที่จะต่อสัญญาเขาไปอีก จนเขาเล่นให้กับ “เจ้าค้างคาว” ไปถึง 5 ปี ลงเล่น 166 นัด และยิงไปได้ถึง 108 ประตู เรียกว่าเป็นหนึ่งตำนานสโมสรเลยก็ว่าได้
จากนั้นเมื่อหมดสัญญาก็เป็นทีม “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า อาสามารับ ดาวิด บีย่า ไปร่วมทีมต่อในปี 2010 ชุดนี้เองเป็นการประกาศศักดาว่าเจ้าหนูคนนี้ไม่ได้เป็นเพียงเจ้าหนูธรรมดาทั่วไป ด้วยวัยเพียง 25 ปี เขาสามารถช่วยทีมคว้าแชมป์ลาลีกา สเปน 2 สมัย (2010-11 , 2011-12) แชมป์ โกปปา เดล เรย์ในปีเดียวกัน และแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก 2010-11 ด้วยการเอาชนะยอดทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ไปในนัดชิง
ไม่เพียงเท่านั้น ดาวิด บีย่า ยังได้สร้างความสุดยอดในฐานะนักเตะทีมชาติสเปนอีกด้วย เขาลงเล่นให้กับทีมชาติทั้งหมด 98 นัด สามารถยิงได้ถึง 59 ประตู ซึ่งถือว่าเป็นสถิติของทีมชาติ ช่วยให้สเปนสามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโร 2008 และแชมป์ฟุตบอลโลก 2010 ได้อย่างสวยงาม
แม้ว่าเขาจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ก็ต้องยอมรับว่า “เจ้าบุญทุ่ม” ดูจะเต็มไปด้วยกองหน้าสตาร์ดังมากมายสับเปลี่ยนกันเข้ามา เมื่อเขาหมดสัญญาลงก็ได้ย้ายไปเล่นให้กับสโมสรแอตเลติโก มาดริด ในปี 2013 สามารถทำผลงานได้ดีพอสมควร ด้วยการยิงไป 13 ประตู จากการลงเล่นไป 36 นัด
ในช่วงท้ายอาชีพเขาเลือกย้ายไปเล่นให้กับสโมสร นิวยอร์ก ซิตี้ ในปี 2014 (ลีกอเมริกา) สามารถโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมด้วยการยิงไป 80 ประตู จากการลงเล่น 124 นัด จากนั้น ดาวิด บีย่า ก็ได้ยืมตัวไปยัง เมลเบิร์นซิติ ในปี 2015
สุดท้ายคือการย้ายไปเล่นให้กับสโมสรวิสเซล โกเบ ที่เจลีก ประเทศญี่ปุ่น จากนั้นก็ตัดสินใจแขวนสตั๊ดไปในปี 2020 ด้วยอายุ 35 ปี ฝากตำนานให้กับแฟนบอลได้เห็นถึงความสามารถของเจ้าหนูคนนี้ตลอดการค้าแข้งของเขา
แม้ว่าในช่วงยุค 2000 เราจะได้เห็นฝีเท้าของนักเตะหลายต่อหลายคน แต่จุดเด่นของ ดาวิด บีย่า ที่ดูจะไม่มีใครทำได้ดีกว่าเขา นั่นคือการฉวยโอกาสทุกครั้งที่ตนเองพบเจอ ให้สามารถแปรเปลี่ยนมาเป็นประตูได้อย่างสวยงาม ถือว่าเป็นหนึ่งในกองหน้าที่มีเซนต์บอลดีอย่างมาก
เขารู้ว่าควรจะอยู่ตรงไหน รับบอลตรงไหนให้ได้เปรียบ และควรจะเข้าไปบีบคู่แข่งอย่างไรให้ตนเองได้บอลคืนมา ด้วยทักษะส่วนตัวของเขามีความรวดเร็ว คล่องแคล่ว และมีความแข็งแกร่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งทำให้ความสามารถของเขาโดดเด่นกว่าคนอื่น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นตำนานนักเตะ เพื่อนร่วมทีม โค้ชผู้จัดการทีม หรือแฟนบอล ต่างยกย่องให้ ดาวิด บีย่า เป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดตลอดกาลของทีมชาติสเปนและโลกลูกหนัง
