John Terry สุดยอดกัปตันทีมที่ทำเพื่อสโมสรเชลซี

John Terry

กัปตันถือว่า เป็นหน้าที่ที่สำคัญ ของกีฬาฟุตบอล เป็นอย่างมาก เพราะนี่คือ ศูนย์รวมจิตใจ ที่ช่วยให้ทีมเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน ซึ่งหากเราจะพูดถึง สุดยอดกัปตัน ที่ประสบความสำเร็จมาก ที่ผ่านมา ต้องมีชื่อของ John Terry กันตันของ “สิงห์บลู” เชลซี อยู่อย่างแน่นอน นี่คือสุดยอดกองหลัง สัญชาติอังกฤษ ผู้มีทั้งพรสวรรค์ วินัยในการฝึกซ้อม และยังมีใจของการเป็นกัปตัน อย่างเต็มเปี่ยม อยู่กับทีม ทั้งในช่วงที่ตกต่ำ หรือก้าวขึ้นมาเป็นสุดยอดทีม ครบถ้วนทั้งหมด ทำให้วันนี้ เราจึงอยากจะหยิบยก เอาประวัติของกัปตันทีม ระดับตำนานคนนี้ มาให้ทุกท่าน ได้ทำความรู้จักกันมากยิ่งขึ้น

John Terry เกิดที่ เมือง ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งหลงรักในกีฬาฟุตบอล มาตั้งแต่ อายุยังน้อย แม้ว่าในช่วงแรก เขาเป็นแฟนบอลของทีม แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด จนเมื่อเขาอายุมากขึ้น ได้ย้ายไปเรียนที่ Eastbury Comprehensive School ตอนนั้นเอง เขาเริ่มฝึกซ้อมฟุตบอล อย่างจริงจัง จนสามารถขึ้นไปติด ทีมเยาวชนของสโมสร Senrab โดยเริ่มต้น ในตำแหน่ง กองกลาง จากนั้นไม่นาน ก็ได้ย้ายมาฝึกฝนกับ ทีมเยาวชนของ เวสต์แฮมยูไนเต็ด ในปี 1996

ตอนนี้เองเขา ได้เริ่มฉายแวว ความเก่ง จนทำให้แมวมอง ของ เชลซี รีบดึงตัวเขา ไปฝึกในทีมเยาวชน ของตนเอง ด้วยอายุเพียง 14 ปี ตอนนั้นเขาถือว่า เป็นเด็กหนุ่ม ที่มีใจสู้ กล้าเข้า กล้าเล่น และกล้าตัดสินใจ ทำให้ถูกปรับ ให้ไปเล่นในตำแหน่ง กองหลังด้วย ซึ่งก็สามารถทำผลงาน ได้ดีมาก ในชุดเยาวชนตอนนั้น

JohnTerry

จากนั้นเขา ก็ได้ใช้เวลา ฝึกฝนตัวเอง จนเรียนจบ และมีอายุ 17 ปี ก็ได้เซ็นสัญญา ขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ ของเชลซีในฤดูกาล 1998 เขาได้รับโอกาส อยู่บ่อยครั้ง ทั้งในตำแหน่ง ตัวสำรอง และตัวจริง แม้ว่าจะมีสตาร์ดังอย่าง มาร์กแซล เดอไซญี่ และ ฟร้องค์ เลอเบิฟ แต่ดาวรุ่งคนนี้ ก็พร้อมฉายแสงให้เห็นแจ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ จนในปี 2001 เขาได้สวมปลอกแขน กัปตันทีม เชลซี เป็นครั้งแรก ซึ่งมีอายุเพียงแค่ 21 ปี เท่านั้น ทำให้แฟนบอล ยังคงมีคำถามในตัวกองหลังคนนี้อยู่บ้าง

แต่เขา ก็ได้ตอบข้อสงสัยนั้น ด้วยผลงาน ของตนเอง ด้วยพาทีมคว้าความสำเร็จ มาอย่างมาก ได้แก่ แชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2004–05 , 2005–06 , 2009–10 , 2014–15 , 2016–17 / แชมป์เอฟเอคัพ : 1999–2000 , 2006–07 , [243] 2008–09 , 2009–10 , 2011–12 / แชมป์ฟุตบอลลีกคัพ ในฤดูกาล 2004–05 ,  2005–06 , 2014–15 / แชมป์ FA Community Shield ในปี 2005 , 2009 / ชนะรายการ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาล 2011–12 / แชมป์ ยูฟ่า ยูโรปาลีก ในฤดูกาล 2012–13

จอห์น เทอร์รี่

จุดนี้เองทำให้ John Terry กลายเป็นกัปตัน ที่ประสบความสำเร็จ มากที่สุด ในประวัติศาสตร์ สโมสรเชลซี แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เขาเองก็มีเรื่องฉาวให้ถูกขึ้นหน้าหนึ่งอยู่บ้าง เพราะมีข่าวลือว่าเขาได้แอบไปมีความสัมพันธ์ กับภรรยาของเพื่อนร่วมทีมอย่าง เวย์น บริดจ์ ซึ่งเขาทั้งสองเคยเล่นด้วยกันที่เชลซี ข่าวนี้สร้างความเสียหายให้กับ ภาพลักษณ์ของเขาอย่างมาก แต่แฟนบอลเชลซีเองก็ยังนับถือในตัวกัปตันคนนี้เสมอ สิ่งที่เขาพอจะทำได้ตอนนั้น คือ การลงเล่นฟุตบอลให้ดีที่สุด ใช้ความสามารถในฐานะกัปตันของเขาอย่างเต็มที่ ใช้เวลานานพอสมควร ที่กระแสข่าวแง่ลบนี้จะผ่านไป

จากนั้นในปี 2017 ข่าวร้ายของแฟนบอลเชลซี ก็ได้กำเนิดขึ้น เพราะเชลซีในยุคใหม่ดูเหมือนจะมองว่า เขาแก่เกินไปที่จะเป็นกำลังหลัก ทั้งที่เขาคนนี้มีดีพอ ที่จะแขวนสตั๊ดให้กับสโมสรที่เขาเริ่มต้น มาได้อย่างเต็มภาคภูมิ ซึ่งความต้องการของเขาเอง ก็ยังคงต้องการค้าแข้งอยู่ ทำให้ต้องตัดสินใจย้ายไปเล่นให้กับสโมสร แอสตันวิลล่า ซึ่งตอนนั้นกำลังจะตกชั้นไปเล่นในลีกล่าง เขาให้เหตุผลว่า อยากจะเล่นฟุตบอลกับทีมที่ไม่ต้องมาโคจรเจอกับเชลซี เพราะเขามองว่าที่นี่ คือบ้านที่แสนจะอบอุ่นสำหรับเขาเสมอ แน่นอนว่า แฟนบอลหลายคนถึงกับเสียน้ำตา ให้กับการย้ายทีมของเขาเลยทีเดียว จากนั้นไม่นานเขาก็แขวนสตั๊ด ไปในวัย 37 ปี เมื่อฤดูกาล 2018-19 นั่นเอง

แฟนบอลอาจจะติดภาพของกองหลัง ที่ทำหน้าที่ป้องกันเกมรุก ตัดบอล หรือการจัดการพื้นที่อันตราย ของแดนตัวเอง แต่เขาเป็นไปได้มากกว่านั้น เพราะเขาถือว่าเป็นกองหลังที่มีการอ่านบอลดีอย่างมาก เขารู้ว่าควรจะวิ่งไปทางไหน ดักบอลอย่างไร และเปิดบอลเพื่อโต้กลับได้อย่างแม่นยำ ความสามารถในการผ่านบอลของเขา ถือว่าสุดยอดอย่างมาก ช่วยส่งให้ตัวรุกขึ้นไปทำประตูแบบไม่น่าเชื่อแล้วหลายต่อหลายครั้ง

นอกจากนั้น เขายังมีพลังงานที่พร้อมจะขึ้น ไปช่วยเกมรุกได้ และกลับมาเล่นในตำแหน่งเกมรับได้อย่างไม่มีหมด ตลอดทั้งเกม การออกคำสั่งของเขาถือว่า มีความเด็ดขาดอย่างมาก ช่วยให้เพื่อนร่วมทีม เล่นเพื่อทีมมากกว่าจะเล่นเพื่อตนเอง จุดนี้เองถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญ ที่กัปตันทีมฟุตบอลควรมีนั่นเอง ส่งผลให้แม้ว่าเขาจะย้ายไปเล่นให้กับทีมอื่น แต่เขาก็ยังถือว่าเป็นกัปตันทีม “สิงห์บลู” ตลอดกาลจนในปัจจุบันนั่นเอง

Scroll to Top