ตอนออกสตาร์ตฤดูกาล Manchester City มีความเปลี่ยนแปลงในทีมน้อยมาก มีเพียงการเซ็นสัญญาคว้าตัว Erling Haaland มาร่วมทีมเพื่อเล่นเป็นศูนย์หน้าตัวเป้า ที่พอจะเป็นการลงทุนครั้งใหญ่หน่อย

Manchester City เร่งเครื่องอย่างหนัก มีทีมที่ลงตัวมากขึ้น และแน่นอนว่า Haaland ยิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง แต่พอแข่งๆ ไป ปรากฏว่าทีมที่เล่นได้อย่างลงตัวกว่ากลับกลายเป็น Arsenal และยังฟอร์มดีอย่างต่อเนื่องจนมีแนวโน้มว่าอาจจะกระชากแชมป์ Premier League จากแชมป์เก่าเอาได้เสียด้วยหากแต่หลังจากเข้าสู่ปี 2023 เป็นต้นมา
และเมื่อย่างเข้าถึงกลางเดือนพ.ค. ไม่เพียง เรือใบสีฟ้า จะกลับขึ้นมาเป็นจ่าฝูงในลีกเท่านั้น ยังเอาชนะ Real Madrid ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศในศึก Champions League โดยจะเข้าไปเจอกับ Inter Milan
ส่วนในศึก FA Cup ก็จะเข้าไปชิงชนะเลิศกับทีมร่วมเมืองอย่าง Manchester United กลายเป็นทีมที่ได้ลุ้นกวาด 3 แชมป์ในฤดูกาลนี้ไปแล้ว
และในวันอาทิตย์ที่ 21 พ.ค.นี้ หาก Man City เปิดบ้านเอาชนะ Chelsea ได้ล่ะก็ พวกเขาจะคว้าแชมป์ Premier League ฤดูกาลนี้ไปครองได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และเป็นแชมป์สมัยที่ 5 ในรอบ 6 ปีภายใต้การคุมทีมของ Pep Guardiola

Guillem Balague ผู้สื่อข่าวคนดังชาวสเปนแสดงความเห็นว่าหลังจากเอาชนะ “ราชันชุดขาว” ยกย่องว่า Man City คือหนึ่งในทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของยุโรปในขณะนี้
จึงเกิดคำถามว่า “เรือใบสีฟ้า” จะก้าวขึ้นไปเทียบความยิ่งใหญ่ของ Manchester United ในปี 1999 ได้หรือไม่
ตอนนี้ City มีโอกาสที่จะทำมันได้แล้ว ผู้เล่นสามารถคิดถึงมันและจินตนาการถึงความสำเร็จได้ และมี 3 เกมสำคัญที่เราต้องฝ่าฟันไปให้ถึง
Pep Guardiola กล่าว
Guardiola รู้ดีว่าสถานการณ์นับจากนี้จะเต็มไปด้วยความกดดัน จึงพยายามหาทางให้นักเตะมองเป้าหมายไปทีละขั้นอย่างช้าๆ
เราต้องหยิบแชมป์ลีกมาครองให้ได้ก่อนลำดับแรก เกมในวันอาทิตย์นี้จึงมีความสำคัญมากที่สุด
Pep Guardiola กล่าว

Jack Gaughan ผู้สื่อข่าว Daily Mail แสดงความเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงระยะหลังจนทำให้ Man City กลับสู่ฟอร์มแกร่งได้อีกครั้ง เพราะการเลือกใช้ 4 นักเตะทีมชาติอังกฤษเป็นหัวใจสำคัญ Kyle Walker แบ็กขวาตัวเก๋ากลับสู่ฟอร์มเก่งของตัวเองอีกครั้ง เกมรับเหนียวแน่น ส่วนการเติมเกมรุกก็แน่นอน
แต่คนที่เปลี่ยนแปลงบทบาทในทีมได้อยางชัดเจนก็คือ John Stones เซนเตอร์แบ็กทีมชาติอังกฤษที่ฤดูกาลนี้บางครั้งก็เป็นแบ็กขวา หรือขยับไปเป็นเซนเตอร์แบ็ก แต่ที่เป็นตำแหน่งใหม่ก็คือบางเกมก็ขยับขึ้นไปเป็นมิดฟิลด์ตัวตัดเกม และยังสอดขึ้นไปทำประตูเองให้กับทีมได้ดีอีกด้วย
นักเตะอังกฤษที่โดดเด่นที่สุดในทีม “เรือใบสีฟ้า” ฤดูกาลนี้ก็คือ Jack Grealish ที่ฤดูกาลนี้ฟอร์มคงเส้นคงวามาก จนสามารถยึดตำแหน่งปีกซ้ายตัวจริงเอาไว้ได้ และเล่นได้คุ้มค่าตัว 100 ล้านปอนด์เสียที Grealish ลงเล่นในทุกรายการในฤดูกาลนี้รวม 48 นัด ยิง 5 ประตู ทำ 11 แอสซิสต์
สำหรับ Phil Foden แม้ว่าฟอร์มระยะหลังจะตกลงแถมมีอาการบาดเจ็บอยู่เนืองๆ แต่ก็ยังเป็นประโยชน์ต่อทีมอยู่มาก และเป็นคนแอสซิสต์ให้ Julian Alvarez ทำประตูที่ 4 ในเกมไล่ถล่ม “ราชันชุดขาว” ไม่เลี้ยง แน่นอนว่าไม่มีฤดูกาลไหนที่ Man City จะเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์ Champions League มากกว่าครั้งนี้อีกแล้ว
นัดชิงชนะเลิศ Man City จะเจอกับ Inter Milan โดยจะเจอกันที่ Ataturk Stadium ในกรุงอิสตันบูล ประเทศอังกฤษในวันเสาร์ที่ 10 มิ.ย.นี้ โดยจะเป็นสังเวียนแข่งเดียวกันกับที่ Liverpool เอาชนะ AC Milan คว้าแชมป์ Champions League เมื่อปี 2005 และเป็นครั้งแรกที่ “เรือใบสีฟ้า” เจอกับ “งูใหญ่” ในนัดชิงชนะเลิศ
Pep Guardiola ทำสถิติพาทีมคว้าชัยใน Champions League ได้ถึง 100 นัด โดยสองคนที่ทำได้มากกว่าคือ Sir Alex Ferguson (102) และ Carlo Ancelotti (107)
ผลงานของ “เรือใบสีฟ้า” ใน Champions League ฤดูกาลนี้คือยิงได้มากถึง 31 ประตู เป็นผลงานที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรในรายการนี้ Manchester City จะไปได้ไกลถึงการกวาด 3 แชมป์อีกไม่นานคงได้คำตอบ