ขาดชื่อนี้ไปไม่ได้แน่นอนหากจะเอ่ยชื่อของตำนาน “อินทรีเหล็ก” นักเตะทีมชาติเยอรมัน และตำนานนักเตะของ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค เพราะ Philipp Lahm ที่แฟนบอลชาวเยอรมันและแฟนบอลทั่วโลกนึกถึงนั่นก็คือสุภาพบุรุษลูกหนังที่มีทั้งฝีเท้าชั้นยอด
และแฟนบอลต่างจดจำกับผู้เล่นในตำแหน่งแบ็คขวาที่ดีที่สุดตลอดกาลของโลกลูกหนัง หรือถ้าหากจะเทียบเคียงในการจัดทีมฟุตบอล superstar ลาห์ม ก็คงจะต้องยืนในตำแหน่งแบ็คขวา ส่วน โรแบโต คาลอส ตำนานซุปเปอร์สตาร์ทีมชาติบราซิล ก็คงจะยืนในตำแหน่งแบ็คซ้าย
ก่อนที่จะมาฟังตำนานสุดยอดกัปตันทีมชาติเยอรมัน และกัปตันของ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค แฟนบอลที่ยังไม่เคยรู้จักประวัติของ Lahm อาจจะไม่รู้ว่าเขาเป็นนักเตะเพียงแค่คนเดียวที่เล่นภายใต้สโมสรเดียวนับตั้งแต่ที่เริ่มเข้าสู่ทีมเยาวชน จนกระทั่งประกาศแขวนสตั๊ดนั่นก็คือสโมสร บาเยิร์น มิวนิค

ถึงแม้ว่าจะมีช่วงระยะเวลา 2 ฤดูกาลในปี 2003 – 2005 กับการปล่อยให้ สตุ๊ตการ์ท ยืมตัวไปใช้งาน แต่สำหรับนักเตะคนนี้สิ่งที่เป็นโลโก้และตีตราให้กับตัวเขานั่นก็คือการเป็นนักเตะของ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค เพียงแค่สโมสรเดียว และเป็นกัปตันทีมชาติเยอรมัน ชุดแชมป์โลกปี 2004
เป็นที่น่าเสียดายหลังจากที่ Philipp Lahm ประกาศแขวนสตั๊ดกับการเล่นฟุตบอลอาชีพในวัยเพียงแค่ 33 ปี ในปี 2017 เพราะเชื่อได้เลยว่าตามศักยภาพของตัวเขาเองคงจะเล่นฟุตบอลในระดับสูงได้อีกหลายปี
แต่ถ้าหากย้อนกลับไปในช่วงของการเริ่มต้นเล่นฟุตบอล เจ้าตัวชื่นชอบกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่เด็กและเริ่มเข้าสู่ชุดเยาวชนของ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 1995 จนกระทั่งในปี 2001 ก้าวขึ้นสู่ทีมเยาวชนของ บาเยิร์นมิวนิค ก่อนที่ในปี 2002 จะก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ และในปี 2003 การแย่งชิงตำแหน่งตัวจริงในทีมเสือใต้ค่อนข้างที่จะสูง ฟิลิปป์ ลาห์ม จึงถูกปล่อยตัวให้กับสตุ๊ตการ์ทยืมตัวไปใช้งาน
จนถึงฤดูกาล 2005 เจ้าตัวก็กลับมายึดตำแหน่งผู้เล่นตัวจริงในตำแหน่งแบ็คซ้าย ซึ่งทุกคนอาจจะสงสัยว่าตำนานชาวเยอรมันรายนี้ประกาศแขวนสตั๊ดในตำแหน่งผู้เล่นแบ็คขวา และแฟนบอลทั่วโลกก็รู้จักว่า Philipp Lahm เล่นในตำแหน่งแบ็คขวาและถนัดเท้าขวา
การเริ่มต้นของ Lahm เจ้าตัวเล่นในตำแหน่งแบ็คซ้ายให้กับ บาเยิร์นมิวนิค ตั้งแต่ย้ายกลับมาจากสตู๊ดการ์ด จนกระทั่งในปี 2006 “เสือใต้” ได้ซื้อตัว มาร์กเซล เยนต์เซ่น ซึ่งเป็นผู้เล่นในตำแหน่งแบ็คซ้าย ลาห์ม จึงถูกโยกไปเล่นในตำแหน่งแบ็คขวานับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งประกาศแขวนสตาร์ท แต่ก็มีช่วงระยะเวลาสั้นๆ ในช่วงปี 2013

หลังจากที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เข้ามาคุมทัพ “เสือใต้” และเขาเองก็ได้รับบทบาทให้ยืนเป็นกองกลางตัวรับ ซึ่งไม่ว่าเจ้าตัวจะเล่นในตำแหน่งแบ็คซ้ายหรือว่าแบ็คขวา หรือกองกลางตัวรับ Lahm ทำได้ดีในทุกตำแหน่งของการยืนและตลอดระยะเวลา 22 ปี นับตั้งแต่ที่ก้าวเข้าสู่ทีมเยาวชนของ บาเยิร์น มิวนิค รวมถึงการเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ถึง 16 ปี Philipp Lahm ก็คว้ารางวัลกับต้นสังกัดต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น แชมป์บุนเดสลีกา 7 สมัย / เดเอฟเบ โพคาล 6 สมัย / เดเอฟเบลีก้า โพคาล 1 สมัย (ซึ่งปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว) / เดเอฟเบ ซูเปอร์คัพ 3 สมัย / ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 1 สมัย / ยูฟ่าซุปเปอร์คัพ 1 สมัย FIFA / Club World Cup 1 สมัย / แชมป์ฟุตบอลโลกปี 2014 อีก 1 สมัย

จนกระทั่งในปี 2014 หลังจากที่เจ้าตัวสวมปลอกแขนกัปตันทีมและชูถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลก ลาห์ม ก็ประกาศอำลาทีมชาติโดยที่ให้เหตุผลว่า “ตัวเขาเองต้องการที่จะหลีกทางให้กับผู้เล่นดาวรุ่งขึ้นมาช่วยทีมชาติ” หรือว่าเปิดทางให้กับผู้เล่นยุคใหม่ขึ้นมาทำผลงานมากกว่า และนี่เป็นการอำลาทีมชาติที่ได้รับคำชมสูงสุด และมีผลงานช่วยทัพทีมชาติเยอรมันลงสนามไป 113 นัด และทำไปได้ 5 ประตู
ส่วนผลงานภายใต้โลโก้เครื่องแบบของ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ลาห์ม ลงสนามไปทั้งหมด 448 นัด และทำไปได้ 17 ประตู และเจ้าตัวได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมตั้งแต่ปี 2010 และรู้หรือไม่ว่านับตั้งแต่ที่ ลาห์ม เล่นฟุตบอลอาชีพไม่ว่าจะในนามทีมชาติหรือว่าในนามสโมสร ตำนานแบ็คขวา “เสือใต้” ไม่เคยถูกใบแดงเลยแม้แต่นัดเดียว ซึ่ง Lahm เคยให้สัมภาษณ์หลังจากที่เจ้าตัวประกาศแขวนสตั๊ดในรูปแบบของการเล่นว่า “ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าปะทะ หรือว่าเล่นรุนแรง เพราะมีแต่จะสร้างผลเสียให้กับทีมตรงข้าม หรือแม้กระทั่งตัวเองได้รับอาการบาดเจ็บ” และนี่คือสาเหตุที่เขาไม่เคยโดนใบแดงตลอดอาชีพของนักเตะ

และนั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แฟนบอลชาวเยอรมัน และแฟนบอลทั่วโลกรวมถึงแฟนบอล บาเยิร์น มิวนิค จะยกย่องให้กับ ลาห์ม เป็นสุภาพบุรุษลูกหนังของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการเล่นหรือเรื่องการพิสูจน์ฝีเท้า และรางวัลทั้งระดับสโมสรและถ้วยฟุตบอลโลก ชายผู้นี้มีครบทั้งหมดและยังมีทัศนคติที่ยอดเยี่ยมในการเล่นฟุตบอลให้เกิดมุมมองที่สวยงาม โดยที่ไม่ต้องทำร้ายคู่แข่ง และแฟนบอลชาวเยอรมันไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหม่หรือว่ารุ่นเก่าต่างก็จดจำเขาในฐานะ “กับตันอินทรีเหล็ก” และ “กัปตันเสือได้” จนถึงทุกวันนี้