บราซิลถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ผลิตนักเตะชื่อดังระดับโลกมามากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ เปเล่ สุดยอดดาวยิงที่สร้างสถิติในสนามฟุตบอลโลกให้แฟนบอลทุกคนรุ่น 60s – 70s ได้ตกตื่นใจกันมามากมายแล้ว หากเป็นรุ่นต่อแน่นอนว่าหนึ่งในคนที่โดดเด่นอย่างมาก ต้องยกให้กับ Zico กองกลางผู้ที่มีความเก่งกาจไม่แพ้กับเปเล่ไข่มุกดำ จนได้รับฉายาว่าเป็น “เปเล่ขาว” ชายคนนี้เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลอย่างไร และมีความเก่งกาจขนาดไหนเรามาทำความรู้จักกันได้เลย

Zico เกิดที่เมืองริโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล สถานที่ที่อบอวลไปด้วยความคลั่งในกีฬาฟุตบอลตั้งแต่เกิด หากย้อนไปเราจะเห็นเขาวิ่งเล่นฟุตบอลกับเพื่อนทุกครั้งที่มีเวลาว่าง แต่แววประกายของความเป็นไข่มุกก็ได้ชัดเจนกว่าเด็กคนอื่น เพราะดูเหมือนว่า ซิโก้ จะมีทักษะในการเล่นฟุตบอลยอดเยี่ยมมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะเทคนิคในการจับบอลเลี้ยงบอล ซึ่งถือว่าเป็นเสน่ห์ของนักฟุตบอลบราซิลเลยก็ว่าได้
แต่ต้องยอมรับว่าวัยเด็กของเขาไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาสมบูรณ์มากนัก ทำให้ร่างกายของเขาดูเล็กและผอมบางมากเกินไป เหล่าสโมสรฟุตบอลจึงได้มองข้ามเขาไปหลายต่อหลายครั้ง จนเมื่อเขาอายุได้ 14 ปี ก็มีโอกาสคัดตัวไปฝึกฝนให้กับชุดเยาวชนของสโมสรฟลาเมงโก ที่นั่นเองทำให้เขารู้จักวิธีการเล่นฟุตบอลอย่างแท้จริง โดยมี José Roberto Francalacci เป็นผู้ฝึกสอนหลัก ซึ่งต้องการเน้นให้ Zico มีสภาพร่างกายแข็งแรงยิ่งขึ้น เขารับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ฝึกฝนร่างกายให้มีกล้ามเนื้อมากขึ้น
จากนั้นเขาจึงมีโอกาสได้ลงเล่นในชุดเยาวชนจริงครั้งแรกในปี 1968 แต่เด็กคนนี้ก็ทำให้ทุกคนทึ่งเพราะจากการลงเล่นไป 116 นัด เขาสามารถยิงไปได้ถึง 81 ประตู ภายใต้ความพยายามถึง 4 ปีเต็มเลยทีเดียว จากความสามารถในการเลี้ยงบอลติดเท้า หลบคู่แข่งได้ดี และยังมีความสามารถในการยิงบอลสูงอีกด้วย

จนปี 1971 ด้วยฟอร์มการเล่นของดาวรุ่ง Zico ทำให้เขาถูกดันขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ให้กับสโมสรฟลาเมงโก ภายใต้ความสามารถและภาพร่างกายที่แข็งแรงพร้อมที่สุด พัฒนาตนเองให้กลายมาเป็นกองกลางคนสำคัญ ช่วยเติมเกมรุกให้กับสโมสรจนสามารถคว้าแชมป์ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ Campeonato Carioca ในปี 1972 , 1974 , 1978 , 1979 , 1979 (พิเศษ) , 1981 , 1986 / แชมป์ Campeonato Brasileiro Série A ในปี 1980 , 1982 , 1983 / แชมป์โคปาอูเนียโอ ในปี 1987 / แชมป์โคปาลิเบอร์ตาดอเรส 1981 / แชมป์อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ ในปี 1981
โดยเฉพาะในปี 1981 ซิโก้ ระเบิดฟอร์มเทพจนสามารถคว้าทริปเปิลแชมป์ให้สโมสร ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะของสโมสรฟลาเมงโก ที่สามารถคว้าแชมป์ได้ทุกถ้วยเท่าที่จะเป็นไปได้ จากดาวรุ่งก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะวัย 30 ปี ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์มากมาย ตลอดระยะเวลา 18 ปี เขาลงเล่นไปทั้งหมด 212 นัด และยิงไปได้ 123 ประตู ถูกยกให้เป็นตำนานของสโมสรและทวีปอเมริกาใต้ไปอย่างไม่มีข้อสงสัย

จากนั้นไม่นาน การเดินทางของ ซิโก้ ได้เริ่มต้นขึ้น ด้วยการย้ายมาเล่นให้กับสโมสร อูดิเนเซ่ ทีมใน กัลโช่ เซเรีย อา ประเทศอิตาลี ถือว่าเป็นทีมในต่างแดนครั้งแรกที่เขาต้องการลงมาสัมผัส ใช้เวลา 55 นัดในตลอด 2 ปี สามารถยิงไปได้ 30 ประตู แม้ว่าจะไม่ได้เป็นฟอร์มที่โดดเด่นเหมือนกับช่วงเริ่มต้นอาชีพ
แต่ด้วยวัย 32 ปี เขาถือว่าเป็นกำลังสำคัญ ด้วยการเลือกใช้สไตล์บอลบราซิลสุดหวือหวา มาสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนบอลอิตาลีได้เห็นกันเป็นขวัญตา แน่นอนว่าเหล่าแฟนบอลต่างชื่นชอบในตัวของ ซิโก้ เป็นอย่างมาก จากนั้นในช่วงปลายอาชีพเขาก็ได้ย้ายกลับมาเล่นให้กับอย่างฟลาเมงโก้อีกครั้ง ในปี 1985-1989 ก่อนที่จะประกาศแขวนสตั๊ดไปในปี 1990 ด้วยอายุ 36 ปี พร้อมกับรับตำแหน่งรัฐมนตรีกีฬาของประเทศบราซิล
แต่คนที่รักฟุตบอลมาก ๆ อย่าง ซิโก้ มีหรือจะอดใจได้ไหว ในปี 1991 เขาก็ตัดสินใจกลับมาค้าแข้งอีกครั้ง แต่ครั่งนี้เป็นการผจญภัยในดินแดนปลาดิบหรือประเทศญี่ปุ่น เล่นให้กับสโมสรซูมิโตโมะ สตีล โดยในมุมของประธานาธิบดีของบราซิล หวังว่าจะให้เขาเป็นทูตทางกีฬาให้กับทั้งสองประเทศ เขาลงเล่นไป 22 นัดและยิงไปได้ 21 ประตู แถมยังสามารถคว้ารางวัลดาวซัลโวของลีก พร้อมช่วยสโมสรกลับขึ้นมาเล่นเจลีกได้อีกครั้ง

ด้วยฟอร์มเทพเช่นนี้ทำให้แฟนบอลชาวญี่ปุ่นชื่นชอบ ซิโก้ ในทันที เขาถูกจับตามองตั้งแต่นัดแรกที่ลงเล่นซึ่งในฤดูกาลต่อมาก็สามารถเปิดตัวมาได้อย่างสวยงาม ด้วยการยิงแฮตทริกตั้งแต่นัดแรกที่ลงเล่นเลยทีเดียว จากนั้น ซิโก้ ในวัย 38 ปีก็ตัดสินใจเปลี่ยนบทบาทของตนเอง มาเป็นที่ปรึกษาโค้ชฟุตบอลให้กับสโมสรคาชิมา แอนท์เลอร์ส ในปี 1994
เนื่องจากอายุที่มากขึ้น และมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ้าง แต่เขาก็ใช้ประสบการณ์และความสามารถของตนเอง ถ่ายทอดไปยังนักเตะในญี่ปุ่นให้มีสไตล์การเล่นแตกต่างจากเดิมอย่างมาก เพราะ ซิโก้ นี่คือสุดยอดกองกลางบราซิล ที่เคยถูกยกว่าที่ดีที่สุดต่อจากเปเล่ตัวจริง นี่คือ “ไข่มุกขาว” ที่มีลีลาการเล่นพลิ้วไหว สามารถหลบได้ทุกคนบนสนาม และยังสามารถทำประตูให้กับตนเองจนก้าวมาเป็นตำนานได้อย่างสมศักดิ์ศรี